วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

การปฎิวัติ 2475

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
24 มิถุนายน พ.ศ. 2475



      วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังจากที่รัชกาลที่ 7 ทรงครองราชย์ได้ 7 ปี คณะผู้ก่อการซึ่งเรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” ประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน จำนวน 99 คน ได้ทำการยึดอำนาจ และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช หรือ “ราชาธิปไตย” มาเป็นระบบการปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” และได้อัญเชิญรัชกาลที่ 7 ขึ้นเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นับได้ว่ารัชกาลที่ 7 ทรงเป็นกษัตริย์องค์แรกในระบอบประชาธิปไตย

สาเหตุของการปฏิวัติ

     ด้านปัจจัยทางการเมือง  การปฏิรูปบ้านเมืองและปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ ทำให้เกิดชนชั้นกลางที่เรียนรู้รูปแบบการเมืองการปกครองของชาติตะวันตก  ทำให้เห็นว่าการปกครองโดยคน ๆ เดียวหรือสถาบันเดียวไม่อาจแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทั้งหมด  นอกจากนี้ชนชั้นกลางจำนวนมากไม่พอใจที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ผูกขาดอำนาจการปกครองและการบริหารราชการ  กลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการให้มีการปกครองระบอบรัฐสภาและมีรัฐธรรมนูญ  บางกลุ่มต้องการให้มีการปกครองระบอบสาธารณรัฐ

     ด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจ  ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและการดุลข้าราชการออกจำนวนมากเพื่อตัดลดงบประมาณ  ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการและประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ  ทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งที่คณะราษฎรใช้โจมตีการปกครองในระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์



การยึดอำนาจในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

        เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ใช้กลลวงนำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2,000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้น นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเสมือนประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป

 

        เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ได้เตรียมการเพื่อที่จะให้ประชาชน  มีความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยเลือกผู้ที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แต่ก็ยังมิทันสำเร็จก็ถูกยึดอำนาจจากคณะราษฎรเสียก่อน โดยทรงให้ร่างรัฐธรรมนูญไว้ 2 ฉบับ เพื่อพิจารณาว่าเหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่ แต่ทั้งสองฉบับพระมหากษัตริย์ยังคงควบคุมดูแลอำนาจทั้งสามฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ซึ่งรัฐธรรมนูญที่รัชกาลที่ 7 จะพระราชทานทั้งสองฉบับนั้น ฉบับแรกร่างโดยพระยากัลป์ยาณไมตรี (ดร. ฟรานซิส บี. แซร์) และฉบับที่สองชื่อ “An Outline of Changes in the Form of Government” ร่างโดย นายเรมอน บี. สตีเวนส์ และพระศรีวิศาลวาจา โดยทรงตั้งใจจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 แต่  อภิรัฐมนตรีสภาคัดค้านไม่ให้รัชกาลที่ 7 พระราชทานทั้งสองฉบับ
        การเปลี่ยนแปลงการปกครองมีผู้ดำเนินการปฏิวัติ เรียกว่า คณะราษฎร” (จำนวน 99 คน) โดยแบ่งผู้นำเป็น 2 ฝ่าย คือ
·         ฝ่ายทหาร นำโดย พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
            ฝ่ายพลเรือน นำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
        การดำเนินงานทำกันอย่างรอบคอบ เพราะเกรงว่าจะล้มเหลวเหมือนคราวกบฎ ร.ศ. 130 โดยมีการรวมตัวครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2470 ประชุมกันที่หอพักกรุงปารีส ฝรั่งเศส   
มีมติให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าคณะราษฎร


        การยึดอำนาจ การปกครองของคณะราษฎร สามารถกระทำได้สำเร็จในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎรได้เชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการซึ่งเป็นที่นับถือของประชาชนมาไว้เป็นตัวประกัน  ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ครั้นพอเหตุการณ์สงบลงคณะราษฎร จึงปล่อยข้าราชการและพระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งนี้คณะราษฎร ได้เสนอหลัก 6 ประการ เป็นอุดมการณ์ในการปกครองประเทศไว้ ได้แก่
      1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชทางการเมือง การศาล การเศรษฐกิจของประเทศไว้อย่างมั่นคง      2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ โดยลดการประทุษร้ายต่อกันเพื่อให้ประชาชนไม่ต้องพะวงชีวิตและทรัพย์สมบัติของตน
      3. ต้องรักษาความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในด้านเศรษฐกิจ จะจัดวางโครงการเศรษฐกิจของชาติ
      4. จะต้องให้ราษฎรได้สิทธิเสมอกันทางกฎหมาย
      5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ อิสรภาพ โดยต้องเป็นเสรีภาพที่ไม่กระทบต่อสิทธิอันชอบธรรมของบุคคล
      6. จะให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร

        ขณะนั้นรัชกาลที่ 7 เสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังไกลกังวล หัวหิน คณะราษฎรได้ส่งคนถือหนังสือไปกราบบังคมทูลให้ทรงยอมเป็นกษัตริย์ต่อไปแต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้น และเมื่อผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และได้มีพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

        แม้ว่าพระองค์จะมีพระราชประสงค์ และจุดมุ่งหมายให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย คือ การให้อำนาจปกครองตนเองแก่ประชาชนมากขึ้น แต่ทว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับหลักการและการกระทำของคณะราษฎรหลายประการ ประกอบกับพระสุขภาพพลานามัยเกี่ยวกับสายพระเนตร จึงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศอังกฤษเพื่อทรงเข้ารับการผ่าตัดพระเนตร โดยเสด็จพระราชดำเนินพร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ออกจากพระนคร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476   
        ต่อมาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายใน เป็นสาเหตุให้พระองค์ทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติขณะประทับอยู่ ณ บ้านโนล แครนลี ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 และทรงประทับพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ ประเทศอังกฤษนั้นเอง โดยมิได้เสด็จนิวัติประเทศไทยอีกเลย จนกระทั่งเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ด้วยโรคพระหทัยวาย ขณะมีพระชนมายุ 48 พรรษา



อ้างอิง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น